วันศุกร์ที่ 7 มีนาคม พ.ศ. 2557

HAPPY ALONE

HAPPY ALONE การทำนิตยสารที่ได้มากกว่านิตยสาร


      HAPPY ALONE เป็นนิตยสารเกี่ยวกับการบอกเล่าเรื่องราว แบ่งปันแง่คิด หรือกิจกรรมต่างๆ  เช่น การออกกำลังกาย การทำอาหาร ท่องเที่ยว หรือแง่คิดการมองโลกในแง่บวก ที่ทำให้เราสามารถมีความสุขได้ แม้จะอยู่เพียงลำพังในขณะนั้น ไม่ว่าจะเป็นคนมีคู่หรือคนโสดก็เหมาะที่จะอ่าน เพราะถึงแม้ในโลกนี้อาจไม่มีใครอยู่คนเดียวได้ แต่ทุกคนนั้นก็ย่อมต้องมีเวลาที่ต้องการอยู่คนเดียว

จุดเริ่มต้นของนิตยสาร

      การทำนิตยสารเล่มนี้เริ่มจากการที่อาจารย์แบ่งกลุ่มให้โดยการจับสลาก ในใจตอนนั้นก็ไม่ได้คิดอะไร เพราะผมคิดว่าตัวเองเป็นคนไม่มีปัญหาอะไร อยู่กับใครก็ได้ ทำหน้าที่ตัวเองให้ดีที่สุดก็พอ และผลก็ปรากฎออกมาว่าผมเป็นผู้ชายคนเดียวในกลุ่มนี้ ซึ่งก็ไม่ได้เป็นปัญหาแต่อย่างใด  เพราะเพื่อนๆ ทุกคนโอเคเลยทีเดียว แต่ที่มีแอบหนักใจนิดนึงคือต้องเป็นนิตยสารแนวผู้หญิงแน่ๆ ซึ่งผมกลัวจะเขียนคอลัมน์ไม่เข้ากับคนอื่นเขา แต่พอเพื่อนคิดธีมนิตยสารขึ้นมาก็โอเค ผมก็พอมีเรื่องที่จะนำเสนอ ได้แสดงความคิดเห็นบ้าง 
      และผมก็คิดว่าการสุ่มเป็นทางเลือกที่ดีในการแบ่งกลุ่ม เพราะว่าเราจะได้ลองออกจากกลุ่มเพื่อนเดิมๆ การที่อยู่กับกลุ่มเพื่อนซี้นั้นแน่นอนว่าย่อมสบายใจกว่า คุยกันรู้เรื่อง แต่การที่เราสนิทกันมากไปก็อาจทำให้เราไม่ค่อยเกรงใจกันเท่าไรนัก งานอาจออกมาล่าช้า เพราะบรรยากาศทำงานคงชิวๆ แต่การอยู่กับกลุ่มเพื่อนที่ไม่ค่อยได้ร่วมงานด้วย บอกตรงๆ ว่าเกรงใจเพื่อนๆ มาก ต้องมีความกระตือรือร้นพอสมควร เพื่อที่จะส่งงานให้ทันตามกำหนด เพราะผมก็ไม่อยากเป็นตัวถ่วง ถือว่าเป็นเรื่องที่ดีในการเตรียมตัวก่อนที่จะออกสู่สังคมนอกรั้วมหาวิทยาลัยในอนาคตอันใกล้

ขั้นตอนในการทำนิตยสาร

      ในตอนแรกเลยนั้นสมาชิกกลุ่มก็จะช่วยกันกำหนดหัวเรื่องหลักของคอลัมน์ต่างๆ เพื่อที่จะเขียนให้มันสัมพันธ์อยู่ในหัวเรื่องนั้นๆ และการส่งต้นฉบับ บก. จะกำหนดวันส่งที่แน่นอนและให้ลูกทีมทั้งหลายส่งภายในวันที่กำหนด (ไม่ต้องสงสัยเลยกลุ่มผมถ้อยทีถ้อยอาศัยกันมาก มีความเกรงใจกันสูงสุดๆ เนื่องจากแทบจะไม่เคยร่วมงานกัน ส่งงานตรงเวลาตลอด จะมีเลทบ้างนิดๆ ก็ผมเนี่ยแหละ) เมื่อบก.ตรวจทานต้นฉบับเสร็จก็จะส่งกลับมาให้ตัวผู้เขียนว่าต้องแก้อะไรไหม ซึ่งบก.เราใจดีมากบางครั้งก็แก้มาให้เลย แล้วเราก็มาตรวจดูอีกที ก่อนที่จะส่งไปให้ฝ่ายกราฟิก 
      ด้วยการกำหนดวันส่งงานที่แน่นอนนั้น และการลงมือทำกันตั้งแต่แรกๆ ทำให้กลุ่มของเราทำงานกันไวพอสมควร อีกทั้งยังไม่มีปัญหาอะไรเลย ทำให้ไม่ต้องมาเจอหน้ากันเท่าไรนัก หรือทำงานโต้รุ่งกันสามวันติด ถ้าจะมีปัญหาก็คงเป็นจิตใจของผมที่บางทีก็คิดว่าเราจะไม่มีโมเมนต์มานั่งหันหน้าเข้าหากันแล้วทำงานด้วยกันเลยหรือ มันก็เลยทำให้ผมอยากลองมาอยู่กับเพื่อนที่ไม่ใช่กลุ่มตัวเองดึกๆบ้าง เพื่อที่จะได้ซึมซับบรรยากาศนั้น 555 (แต่งานกลุ่มผมเสร็จเรียบร้อยแล้วนะ)

หน้าที่ในนิตยสาร HAPPY ALONE

      ผมได้รับหน้าที่เป็นช่างภาพ แต่บอกตรงๆ นะว่าผมได้แต่ถ่ายรูปให้คอลัมน์ตัวเอง เพื่อนๆ ไม่ค่อยให้ผมช่วยถ่ายอะไรเท่าไรนัก อาจเพราะไม่มั่นใจในฝีมือ.. TT ล้อเล่นครับ (ปลอบใจตัวเอง) แต่เป็นเพราะว่าเพื่อนๆ แต่ละคนทำคอลัมน์ที่ต้องไปถ่ายภาพในต่างจังหวัด ซึ่งก็คงสะดวกเวลาที่ตัวเองกลับบ้าน และก็คงจะยังไงอยู่ถ้าเอาผมติดกลับบ้านไปด้วย หรือบางทีถ่ายในหอตัวเอง เพื่อนสามารถถ่ายได้ก็เลยไม่อยากจะตามผมมา เพราะเกรงใจบ้างอะไรบ้าง ทั้งๆที่ผมก็อยากจะช่วยนะครับบบ

      อย่างตอนแรกจะให้ไปช่วยถ่ายรูปคนที่ถูกสัมภาษณ์ แต่ซ้ำกับคอลัมน์สัมภาษณ์ของผมแม้จะคนละเรื่องกัน เพื่อนก็เลยยกเลิกไป เพราะอยากให้มีสัมภาษณ์แค่เรื่องเดียวไปเลย หรือครั้งที่ถ่ายแบบผู้หญิงที่สระว่ายน้ำ ผมก็ไม่ได้ไปอีก เพราะอาจจะทำให้บรรยากาศเกร็งไม่กันเองเหมือนถ่ายเล่นกับเพื่อน แหมมม ครั้งนี้ยอมรับเลยว่าน่าเสียดายจริงๆ 555 ซึ่งทีนี้ก็จะเหลือคอลัมน์ใหญ่คือสัมภาษณ์ของผม และหน้าปก บอกเลยว่าผมพึงพอใจและก็ภูมิใจมากที่เพื่อนๆ โอเคกับรูปภาพที่ผมถ่ายมา รวมถึงนางแบบ พร้อบ อุปกรณ์ต่างๆที่ผมได้จัดหามา เพราะมันได้ทำให้รู้สึกว่าผมได้ช่วยเพื่อนๆ ทำงานบ้าง การที่เพื่อนๆ ชื่นชมงานของเรามันก็ทำให้รู้สึกดีและเป็นกำลังใจเหมือนเป็นการเสริมแรงนั่นแหละ บวกกับนางแบบที่จัดหามาเองแล้ว บอกตรงๆ นะครับ ให้ผมถ่ายรูปสามวันติดผมก็ไหว ไม่มีบ่นปริปากสักเล็กน้อย เรียกได้ว่าเป็นการทำงานที่มีความสุขจริงๆ และกลุ่มของผมก็ดีอย่างตรงที่เพื่อนทุกคน ทำงานกันจริงๆ แม้จะมีหน้าที่หลักอะไร แต่เราก็จะแบ่งงานกันในสัดส่วนที่ใกล้เคียงเท่าเทียมกัน ช่วยกันทำแทบทุกอย่าง แม้ว่าผมที่เป็นช่างภาพก็ไม่น้อย หน้านะครับ จัดไป 4 คอลัมน์ ถึงจะไม่ยาวเท่าเพื่อนๆ ก็เถอะ 55555 

สิ่งที่ได้รับจากการทำนิตยสาร HAPPY ALONE

      ต้องขอบคุณอาจารย์เลยจริงๆ ที่มอบหมายงานในครั้งนี้ให้ทำ เพราะมันไม่ได้ทำให้ผมได้เรียนรู้แค่วิชาการผลิตสื่อสิ่งพิมพ์ แต่ได้เรียนรู้ถึงการใช้ชีวิตในสังคม การทำงานกลุ่ม การช่วยเหลือกัน ทำให้เราได้พูดคุยกับเพื่อนๆ มากขึ้น จากคนที่ไม่ค่อยสนิทก็สนิทกันมากขึ้น จากคนที่รู้จักกันดีก็สนิทมากกว่าเดิม จากคนที่ไม่ค่อยมีโอกาสได้คุยกันมากนั้น ก็ได้มาร่วมงานกัน.. (อันนี้ส่วนตัวและครับ 5555555) น่าดีใจนะครับที่การทำนิตยสารเพียงเล่มเดียว แต่กลับได้สอนอะไรให้เรามากมายกว่าการเรียนในห้องเรียน ยิ่งเมื่อได้เห็นผลงานของตัวเองออกมาเป็นเล่มแล้ว มันเป็นความปลื้มปริ่ม ยินดีแบบบอกไม่ถูกครับ เหมือนภูมิใจในผลงานที่ช่วยกันสร้างขึ้นมา ภูมิใจในความสำเร็จ ทำให้ลืมช่วงเวลาที่เรา ALONE ไปเลย เหลือทิ้งไว้แต่ความ HAPPY แทน
      รวมถึงขอบคุณเพื่อนๆ ที่คอยช่วยเหลือ และไว้ใจในตัวช่างภาพคนนี้ ไม่ว่าจะเป็นบก.สุดใจดีที่บริหารงานได้เป๊ะ ไม่งั้นคงต้องมาปั่นงานโต้รุ่งกันแน่ นักเขียนที่ช่วยคิดเรื่องเวลาที่ไม่รู้จะเขียนเกี่ยวกับอะไร ฝ่ายกราฟิกที่ทำให้รู้สึกว่าฝีมือแบบนี้อุ่นใจได้แน่ๆ และนางแบบที่ยอมเดินทางมาไกลพอสมควร ขอบคุณอาจารย์และเพื่อนๆ มากครับ การทำงานครั้งนี้ทำให้ได้รับ "ประสบการณ์" มากมายเลยทีเดียว

วันอาทิตย์ที่ 16 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2557

วิเคราะห์ประโยชน์จากเทคโนโลยีสารสนเทศ

      ในปัจจุบันนั้น ได้มีเทคโนโลยีต่างๆ เข้ามาเกี่ยวข้องในชีวิตประจำวันอย่างมากมาย เพื่ออำนวยความสะดวกสบายในการใช้ชีวิตของมนุษย์ให้มากขึ้น  รวมถึงเทคโนโลยีสารสนเทศ ซึ่งหมายถึง การนำการนำเอาเทคโนโลยีต่างๆ มาใช้เพื่อเพิ่มมูลค่าให้กับสารสนเทศ ทำให้สารสนเทศมีประโยชน์และใช้งานได้กว้างขวางมากขึ้น ทำให้ข้อมูลข่าวสารเผยแพร่ได้อย่างรวดเร็ว ทันต่อเหตุการณ์ ผ่านทางอุปกรณ์ฮาร์ดแวร์หรือซอฟต์แวร์ต่างๆ


วันนี้ผมจะมาพูดถึงเจ้าสิ่งนี้   าวเทียม (Satellite)


      ดาวเทียม เป็นสิ่งประดิษฐ์ที่มนุษย์คิดค้นขึ้น เพื่อใช้ประโยชน์ในด้านการสื่อสารโทรคมนาคม การวิจัยทางวิทยาศาสตร์ การสำรวจทรัพยากรธรรมชาติ การพยากรณ์อากาศ การทหาร การค้า หรือแม้แต่การศึกษา โดยการทำงานนั้น ดาวเทียมจะถูกส่งขึ้นไปในอวกาศ และโคจรอยู่รอบโลกด้วยแรงดึงดูดของโลก โดยจะทำหน้าที่เหมือนสถานีทวนสัญญาณ คือจะรับสัญญาณที่ยิงมาจากโลก เมื่อรับมาจะทำการขยายสัญญาณพร้อมทั้งแปลงสัญญาณให้มีความถี่ต่ำลงเพื่อป้องกันการรบกวนกันระหว่างสัญาณขาขึ้นและส่งกลับลงมายังโลก โดยมีจานสายอากาศทำหน้าที่รับและส่งสัญญาณ

ประเภทของดาวเทียมนั้นมี 5 ประเภท

1.ดาวเทียมสื่อสาร ดาวเทียมที่ทำงานตลอดเวลา ทำหน้าที่เชื่อมโยงเครื่อข่ายสื่อสารของโลกเข้าไว้ด้วยกัน โดยการเป็นที่พักสัญญาณและกระจายสัญญาณไปยังจุดรับสัญญาณต่างๆ ทั่วโลก และสามารถส่งผ่านสัญญาณโทรศัพท์ ข้อมูลต่างๆ รวมถึงสัญญาณภาพโทรทัศน์ไปได้ทุกหนแห่งทั่วโลก

2.ดาวเทียมสำรวจทรัพยากร การทำงานนั้นจะเป็นการผสานกันระหว่างเทคโนโลยีการถ่ายภาพและการโทรคมนาคม โดยเป็นการสำรวจจากข้อมูลจากระยะไกล โดยการใช้คลื่นแสงที่เป็นพลังงานแม่เหล็กไฟฟ้าในการจำแนกทรัพยากรต่างๆ ที่สำคัญ

3.ดาวเทียมอุตุนิยมวิทยา เป็นดาวเทียมที่ให้ข้อมูลเกี่ยวกับสภาพภูมิอากาศด้วยภาพถ่ายโลกจากมุมสูง มีประโยชน์ในการพยากรณ์อากาศ รวมถึงการเตือนภัยจากภัยธรรมชาติ

4.ดาวเทียมบอกตำแหน่ง เป็นระบบที่ใช้หาตำแหน่งด้วยดาวเทียม(GPS) ถูกพัฒนาโดยกองทัพของประเทศสหรัฐอเมริกา ซึ่งในปัจจุบันได้นำมาใช้ในเชิงพาณิชย์ต่างๆ โดยใช้เป็นระบบนำร่องในการเดินทาง

5.ดาวเทียมอื่นๆ ได้แก่ ดาวเทียมสมุทรศาสตร์ ดาวเทียมจารกรรม ดาวเทียมสำรวจอวกาศ


   
        ในชีวิตของผมที่ดำเนินอยู่ในทุกวันนั้น อาจมีการใช้ประโยชน์จากดาวเทียมอยู่บ้าง 2-3 ประเภท ในเรื่องของการบอกตำแหน่งเวลาเดินทางไปในที่ที่ไม่เคยไป หรือการดูพยากรณ์อากาศและเตือนภัยก่อนออกจากบ้าน แต่ประเภทที่เข้ามามีบทบาทมากที่สุดคงไม่พ้นในเรื่องของการสื่อสาร ทั้งการใช้โทรศัพท์พูดคุยติดต่อสื่อสาร รับฟังวิทยุ หรือดูรายการต่างๆ ในโทรทัศน์ เพื่อความบันเทิงและเพื่อที่จะได้รับข่าวสารจากที่ต่างๆ ได้อย่างรวดเร็วทันเหตุการณ์ เรียกได้ว่าเป็นสิ่งที่ทำอยู่ในทุกๆ วัน แต่ประโยชน์ของดาวเทียมนั้นยังไม่หมดเพียงเท่านี้

  
ดาวเทียมกับการศึกษา
      ในด้านของการศึกษานั้น ในฐานะที่เป็นนิสิตครูและได้เรียนรู้มา ก็มีการนำมาใช้ในระบบ Video Conference เป็นการใช้ประโยชน์ในการประชุมทางไกล สามารถนำข้อมูลมาได้ทั้งภาพและเสียง ผู้สนทนาสามารถสื่อสารโต้ตอบกันได้ สำหรับการศึกษาทางไกลที่ผู้เรียนและผู้สอนอยู่กันคนละที่นั้น  จะช่วยลดภาระทั้งผู้เรียนและผู้สอนในเรื่องระยะเวลา การเดินทาง สถานที่ ทำให้การสอนเป็นไปอย่างทั่วถึง มีประสิทธิภาพมากขึ้น กระจายโอกาสทางการศึกษา  แต่ก็ยังมีข้อจำกัดในเรื่องต่างๆ อย่างเช่น การใช้โทรทัศน์เป็นสื่อการสอนทางเดียวทำให้ไม่สามารถโต้ตอบกันได้ หากมีข้อสงสัยต้องติดต่อกันนอกเวลา เช่น ทาง E-mail หรือโทรศัพท์ แต่ก็เป็นข้อดีไปในตัว เพราะทำให้ได้รับความรู้มากขึ้น เนื่องจากผู้สอนมีเวลาค้นหาและผู้เรียนสามารถเรียนรู้ได้ด้วยตนเอง อีกทั้งยังมีค่าใช้จ่ายสูงพอสมควร

       ไม่ว่าจะอย่างไรเทคโนโลยีที่มีประโยชนน์มากมายมหาศาลแค่ไหน ถ้านำมาใช้ในทางที่ผิดก็ก่อให้เกิดโทษมหาศาลเช่นกัน อย่างเช่นดาวเทียมจารกรรมที่ใช้ติดตาม สำรวจ ถ้านำมาใช้ในทางที่ผิดอาจทำให้คนๆหนึ่งไม่มีพื้นที่ความเป็นส่วนตัวเลยก็ได้ หรือนำมาใช้ในการโจรกรรม หรือดาวเทียมสื่อสาร ถ้านำมาเผยแพร่ข้อมูลที่เป็นความลับของชาติ ก็อาจทำให้เกิดสงครามได้ ทั้งหมดก็ขึ้นอยู่กับวิจารณญาณและการนำไปใช้ และที่สำคัญมนุษย์เป็นผู้สร้างเทคโนโลยีขึ้นมาเพื่อความสะดวกสบาย แต่ต้องไม่ยอมตกเป็นทาสของเทคโนโลยีซะเอง โดยการไม่หยุดอยู่กับที่ พึ่งพาแต่เทคโนโลยี แต่ต้องพยายามพัฒนา สร้างสรรค์สิ่งใหม่ๆ เสมอ 




วันศุกร์ที่ 7 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2557

แหล่งทรัพยากรการเรียนรู้ : Modern 9 TV

       สวัสดีครับ.. วันนี้ผมจะพาไปพับกบ พบกับแหล่งทรัพยากรการเรียนรู้ที่ผมเพิ่งไปมาล่าสัตว์ เอ้ย ล่าสุด นั่นก็คือ สถานีโทรทัศน์โมเดิร์นไนน์ทีวี หรือช่อง 9 อสมท นั่นเอง


       บริษัท อสมท จำกัด (มหาชน) ขอเรียกสั้นๆ ให้เข้าใจง่ายๆ ว่าช่อง9 นะครับ เป็นสถานีโทรทัศน์แห่งแรกของประเทศไทย เมื่อก่อนคือช่อง 4 นั่นเอง สถานที่ตั้งอยู่ที่ 63/1 ถนนพระราม 9 แขวงห้วยขวาง เขตห้วยขวาง กรุงเทพมหานคร 10310 สำหรับคนพื้นที่อาจจะไม่ต้องเป็นทางการขนาดนี้ พูดแค่อยู่หลังห้างดังเซนทรัลพระรามเก้าก็คงร้องอ๋อกันแล้ว

      บริษัทแห่งนี้ทำงานเกี่ยวกับรายการวิทยุและโทรทัศน์ โดยรายการวิทยุนั้นจะมีทั้งหมด 8 คลื่น เป็น FM หกคลื่น ได้แก่ 95,96.5,97.5,99,100.5,107 และ AM อีกสองคลื่น คือ 1494 และ 1143 ซึ่งจะมีทั้งรายการเพลงสตริง ลูกทุ่ง ข่าว และรายงานผลฟุตบอล ส่วนรายการโทรทัศน์ก็มีมากมาย เป็นทั้งบันเทิงคดีและสารคดี รวมถึงรับงานโฆษณาต่างๆด้วย

       ที่ช่อง 9 นี้เป็นแหล่งทรัพยากรการเรียนรู้ที่ครอบคลุมหลายประเภทมาก ไม่ว่าจะเป็น บุคคล สถานที่ หรือสื่อ วัสดุอุปกรณ์ และเทคโนโลยี ตัวผมเองนั้นเคยมาที่นี่ 2 ครั้ง ครั้งแรกคือ มาดูวิธีการจัดรายการโทรทัศน์ รายการ "บอกเก้าเล่าสิบ" ซึ่งพี่เขาจะให้เราเข้าไปอยู่กับทีมงานเลย รวมถึงพิธีกร เรียกได้ว่าใกล้ชิดสุดๆ สามารถสอบถามได้ทุกเรื่อง ทำให้สามารถที่จะเรียนรู้ได้จากการเตรียมการและวิธีทำงานของพี่ๆทีมงานทั้งเบื้องหลังและเบื้องหน้า โดยทีมงานเบื้องหลังจะมีการเตรียมสคริปต์บทพูด เตรียมฉาก ตรวจสอบการจัดวางตำแหน่งกล้อง แสงและเสียง ส่วนพิธีกรก็จะทำการซักซ้อมก่อนที่จะเข้ารายการ พวกพี่ๆ เขาทำงานกันเป็นมืออาชีพมาก แม้จะเป็นรายการสด ก็ไม่มีผิดพลาดกันเลย พอจบรายการนี้ก็จะเข้าสู่รายการถัดไปทันที เรียกได้ว่าทีมงานเบื้องหลังแทบไม่ได้หยุดพักเลย

       ส่วนครั้งที่สองนั้นเป็นการดูการทำงานส่วนต่างๆ ของสถานที่โดยจะมีพี่วิทยากรพาเดินชม ซึ่งก็จะมีห้องที่ใช้อัดรายการสด ห้องควบคุมตัดต่อ ห้องควบคุมเสียง ห้องรายการวิทยุ และก็ห้องฝ่ายศิลป์ที่คอยจัดทำฉากหรือพร้อบต่างๆ เพียงแต่การไปครั้งนี้จะไม่ได้เข้าไปใกล้ชิดมากเท่าที่ควร เพราะไปกับเพื่อนๆเยอะ และสถานที่ไม่ค่อยเอื้ออำนวยเท่าไร ทำได้เพียงมองผ่านกระจกจากข้างนอก แต่จะมีพี่วิทยากรคอยอธิบายการทำงาน ถ้าบางห้องไม่ได้มีคนใช้งานอยู่ ก็จะได้ทดลองใช้อุปกรณ์จริงๆ อย่างกล้องวิดีโอที่ใช้ถ่ายรายการโทรทัศน์ราคาหลักล้าน เรียกได้ว่าเกิดมาเพิ่งเคยแตะของมีราคาขนาดนี้ ตื่นเต้นดีครับ  




การบูรณาการแหล่งเรียนรู้
       สำหรับการบูรณาการแหล่งการเรียนรู้นั้นก็น่าจะอยู่ในหมวดการงานและเทคโนโลยี และก็เรียกได้ว่าตรงกับวิชาเอกของผมเลย เทคโนโลยีสื่อสารการศึกษา (แต่ถ้าให้ลึกก็คงนิเทศน์ศาสตร์)  คืองานต่างๆ ส่วนมากก็จะเป็นงานที่ได้เรียนได้ทำไปแล้ว ไม่ว่าจะเป็นถ่ายรูป ตัดต่อ จัดรายการวิทยุ รายการโทรทัศน์ ซึ่งก็คล้ายๆกับที่เรียนมา แต่การมาดูงานที่นี่ก็ทำให้ได้เรียนรู้มากขึ้นไปอีก รู้เทคนิคต่างๆมากขึ้น เพราะได้รับความรู้จากผู้มีประสบการณ์ตรง และการตอบคำถามที่ชัดเจนจากข้อสงสัยต่างๆ รวมถึงวิธีการทำงานที่ดูเป็นแบบแผน  เรียกได้ว่าความรู้มีอยู่รอบตัวเลย ไม่ว่าจะจากการสังเกตุ ถามไถ่ หรือเรียนรู้จากการทำงาน ซึ่งสามารถนำประสบการณ์ที่ได้รับจากการดูงานมาพัฒนาใช้กับตัวเองให้มีประสิทธิภาพมากขึ้นในชีวิตประจำวัน

วันศุกร์ที่ 31 มกราคม พ.ศ. 2557

Poster Design Awards

       BATMAN หลายๆ คนคงสงสัยว่าทำไมต้องเรียกว่าแบทแมน ถ้าให้ผมเดาคงเป็นเพราะว่าชุดยูนิฟอร์มของเขามีลักษณะที่คล้ายคางคาวและก็ออกมาแค่ตอนกลางคืนล่ะมั้ง เพราะผมก็ดูมาหลายภาคพอสมควร จนถึงภาคล่าสุดก็ยังไม่เห็นว่าจะมีฉากต่อสู้กันตอนเช้าเลย 5555 คงเพราะมันจะผิดคอนเซปต์มนุษย์ค้างคาว

       แบทแมนซูเปอร์ฮีโร่สายพันธุ์อเมริกาตัวนี้ถือว่าธรรมดามาก เมื่อเทียบกับซูเปอร์ฮีโร่อื่นๆ เพราะว่าไม่มีพลังวิเศษอะไรเลย ไม่เหมือนสไปเดอร์แมนที่พ่นใยได้ หรือซูเปอร์แมนที่เหาะได้ แบทแมนเก่งเพราะความพยายามในการฝึกฝนร่างกายกับมีอุปกรณ์สุดไฮเทคช่วยเท่านั้น และในตอนกลางวันก็เป็นแค่ผู้บริหารบริษัทแห่งหนึ่ง

       มาเข้าเรื่องกันเลยดีกว่า! ผลงานที่ผมเอามาคือ โปสเตอร์หนังเรื่อง **The Dark Knight Rises** ซึ่งได้รับรางวัล Screen Crush Awards 2012 จากเว็บไซต์ www.screencrush.com

     
       เพียงแค่เห็นรูปก็รู้เลยใช่ไหมล่ะครับว่าเป็นภาคจบ เพราะอะไรน่ะเหรอ... เพราะผมดูมาแล้วไง 55555 ล้อเล่นนะครับ แต่ผมคิดว่าเป็นเพราะมีตัวอักษร "THE LEGEND ENDS" ซึ่งก็แปลตรงตัวว่า "จบตำนาน" แต่ถ้าเห็นเพียงแค่ตัวอักษร ถ้าคนที่ไม่เคยรับชมมาก่อนก็คงไม่รู้หรอกว่าจบตำนานอะไร แต่ประกอบกับรูปภาพที่มีหน้ากากแบทแมนตกอยู่ที่พื้น และมีผู้ชายที่ยืนหันหลังกำลังจะเดินไปก็ทำให้คิดได้ว่าถ้าเขาไม่ได้เป็นแบทแมนเอง ก็คงเป็นคนที่ฆ่าเเบทแมนแน่ๆ บวกกับฉากบรรยากาศสีดำทะมึน มีเส้นที่เหมือนฝนตก มันให้ความรู้สึกว่าหนังเรื่องนี้น่าสนใจ ลึกลับ มีอะไรน่าค้นหา อยากที่จะรู้ว่าตำนานแบทแมนนี้จะจบยังไง พระเอกตาย หรือเลิกเป็นแบทแมนไปใช้ชีวิตอย่างมีความสุขแทน ซึ่งองค์ประกอบทั้งหมดในโปสเตอร์ ไม่ว่าจะเป็นตัวหนังสือ รูป ฉาก บรรยากาศ มันสัมพันธ์กันหมด ถือว่าทำออกมาได้ดีมากๆ

       ปล.ขอบอกว่าหนังสนุกมาก และโปสเตอร์ชิ้นนี้ก็ทำออกมาได้ดีน สื่อความหมายได้ชัดเจน แต่ก็ไม่รู้ว่าผู้อ่านจะคิดเหมือนผมไหม เพราะว่าสิ่งที่เห็นเราอาจจะตีความออกมาต่างกันก็ได้

       ปล.2โปสเตอร์ภาคก่อน "The Dark Knight Rises" คือภาค "The Dark Knight" ก็ได้รับรางวัลเช่นกัน แหม ผู้สร้างผลงานเขาคุณภาพจริงๆนะครับ




ขอบคุณข้อมูลจาก
http://screencrush.com/best-movie-posters-2012-screencrush-awards/
http://www.impawards.com/2008/dark_knight_ver5.html